2560-05-30

OS ; [NCT] 한잔해요 (HAVE A DRINK ) #markmin #ชิลดิมาร์คมิน

                            



  한잔해요 (HAVE A DRINK)
#MARKMIN

 





ฟังเพลงเพื่อความอรรถรส






                                                                                                                                                                                                                                                                                           한잔해요 (HAVE A DRINK)
#MARKMIN
#ชิลดิมาร์คมิน

เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพบกับอาการปวดเอว..



ทำไมผมรู้สึกระบมช่วงล่างของตัวเองได้มากขนาดนี้



       ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อปรับสภาพการมองเห็นของตัวเอง โอเค สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ผมนอนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์คนเดียว (ในสภาพสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงนอนขายาวสีกรม) ข้างกายของผมว่างเปล่า ผ้าปูที่นอนสีเทากับผ้าห่มเข้าชุดที่ยับหน่อยๆบวกกับไออุ่นที่แผ่ซ่านเมื่อผมเอามือไปแตะ ทำให้ผมพอเดาออกว่า คนข้างๆ  เพิ่งจะลุกออกไปได้ไม่นาน




                                                    ถ้าให้เดาคงลุกไปอาบน้ำล่ะมั้ง..



                                                   
       ผมหยัดกายลุกขึ้นนั่ง พลางมองไปรอบๆห้อง
                                                   


                                                    หรู ไม่ใช่เล่นเลยนี่นา



       สิ่งที่ดึงดูดที่สุดในห้องนี้คงเป็น ทิวทัศน์จากหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ทางด้านซ้ายของห้อง หากมองออกไปจากตรงนี้จะเห็นตึกรามสูงสง่า บ่งบอกได้ชัดว่า เจ้าของห้องมีฐานะดีพอสมควร  มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆอย่างผมคงไม่มีปัญญาซื้อที่แบบนี้หรอก


         ผมตัดสินใจค่อยๆก้าวลงจากเตียง พยายามใช้วิชาตัวเบาหย่อนเท้าลงกับพื้นให้ได้นุ่มนวลที่สุด เมื่อพอทรงตัวได้แล้ว จึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง




                                                    ฟู่ว.
                                                    ก็ไม่ได้ปวดขนาดนั้น



          ผมถือโอกาสสำรวจรอบห้อง โดยเลือกที่จะเดินไปชมวิวยืดเส้นยืดสายตรงกระจกใสบานใหญ่ให้พอชื่นใจก่อน จากนั้นจึงเดินเลยมายังห้องแต่งตัว ตู้เสื้อผ้าสีดำทรงสูงเรียงรายอยู่4ตู้ อีกฝั่งเป็นกระจกบานใหญ่และโต๊ะเครื่องแป้งสีดำเข้าชุด โอเคมันให้อารมณ์ซังนัมจาสุดๆไปเลย


                                                     


            เสียงน้ำกระทบพื้นดังลอดออกมาจากประตูข้างในสุดของห้องแต่งตัว ถ้าให้เดาคงจะเป็นห้องน้ำ และเจ้าของห้องคงอาบน้ำอยู่ ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากห้องแต่งตัวมายังห้องรับแขก



           เจ้าของห้องคงโปรดปรานสีดำน่าดู เพราะเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งทุกอย่างทุกอย่างตั้งแต่ โซฟา ไปจนถึง พรมเช็ดเท้าล้วนเป็นสีดำ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกอึดอัดหรือลึกลับ กลับกัน ให้ความรู้สึก หรูหรา นุ่มลึก สุขุมมากกว่า




         คอนโดนี้ใหญ่ใช่เล่น จากที่สำรวจมามันประกอบไปด้วย ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องน้ำ และโซนครัว (ซึ่งอยู่บริเวณห้องรับแขกนั่นแหละ) ราคาคงแพงหูฉี่




           หลังจากสำรวจจนพอใจ ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้องประท้วง ผมจึงมุ่งหน้าไปยังตู้เย็นเพื่อหาของประทังชีวิต เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง แล้วก็ได้นมสดกับขนมปังที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์มาทานรองท้อง โอเค เช้านี้ถือว่ารอด ผมเดินมานั่งทานตรงโซฟา ใช้เวลาไม่นาน เจ้าของห้องก็ออกมาด้วยสภาพที่เอ่อ….มันก็คงไม่แปลกหรอกน่า ก็บ้านเขานี่นา...




             เขาพันผ้าเช็ดตัวสีกรมตรงช่วงล่าง และกำลังเดินเช็ดผมเข้ามาหาผมด้วยสภาพที่มีหยดน้ำเกาะแพรวพรายตรงแผงอกนั่นแหละ




                                         ใจเต้นหน่อยๆเลย


                                                   
             ผมมองหน้าเจ้าของห้อง ส่งยิ้มแห้งไปให้ รู้สึกเกร็งแปลกๆ เพราะเขาค่อนข้างชิลพอสมควร





ท่าทางจะหิวนะ
        เจ้าของห้องหยุดเดินและยืนห่างจากผมระยะหนึ่ง โอเค ไม่ใกล้ไป ไม่อึดอัด



          “นิดหน่อยปกติผมกินข้าวเช้า


          “นึกว่าเมื่อคืนใช้แรงไปเยอะพูดพร้อมยิ้มร้ายออกมา


              ผมจึงคว้าหมอนข้างตัวโยนใส่เขาไม่แรงนัก แต่มันก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะของเจ้าของห้องได้ดี



               “อาบน้ำก่อนมั้ย?

                “ก็ดี งั้นขอตัว
                                                   


               ผมผุดลุกขึ้น ไม่ลืมที่จะเอาแก้วนมสดไปเก็บตรงซิงค์ล้างจาน ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไป 


                 “เอ้อ ลืมบอก เสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวเตรียมให้แล้วนะ อยู่ตรงหน้ากระจก เจ้าของห้องตะโกนไล่หลังมา ผมเพียงครางตอบรับไป และเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกาย



                                                    น้ำเย็นๆที่ไหลผ่านร่างกายทำให้ผมตื่นจากเช้าอันงัวเงียอย่างเต็มตัว พลางคิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน...



                                                    อ่า ผมนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆเลย เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น!



                                                   
                  ผมชื่อ นา แจมิน อายุ 26 ปี กำลังอยู่ในช่วงวัยของการทำงานเลยล่ะ ผมเป็นพนักงานฝ่ายการตลาดในบริษัทของ มาร์ค ลี (เจ้าของห้องนั่นแหละ) ผมไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่นัก เราเจอกันทุกวันที่ทำงานก็จริง แต่ไม่ได้มีการพูดคุยมากไปกว่าเจ้านายกับลูกน้องเลย แน่นอนว่าผมจะไม่มีวันได้เข้ามาอาบน้ำในคอนโดสุดหรูใจกลางเมืองของเจ้าของบริษัทเลย หากเราไม่สนิทกันมากพอ


                อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ว่าผมกับเขาสนิทกันถึงขั้นนั้นแล้ว เรายังคงเป็นเจ้านายกับลูกน้องกันเหมือนเดิม เพียงแต่ สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ...




                  ผมกับเขา.....มี...เอ่อ...กันเมื่อคืนนี้.. ที่ห้องนี้... นั่นแหละ เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมสามารถนอนบนเตียงเดียวกับเขาทั้งคืน และอาบน้ำในห้องเขาได้




                                                    สุดยอดไปเลยแจมิน..




                      เมื่อคืนเป็นวันงานเลี้ยงบริษัท เพื่อให้พนักงานได้ผ่อนคลายจากการทำงาน แต่สิ่งที่ผมเจอ มันทำให้ผมเครียดยิ่งกว่าเอางานของทั้งปีมากองรวมกันซะอีก ผมขอเรียกมันว่า วันโลกาวินาศก็แล้วกัน



                        โอเค ผมจะเล่าความร้ายกาจของเมื่อวานให้ฟัง เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเพิ่งเลิกกับแฟน สาเหตุที่เราเลิกกันคือ มันมีกิ๊ก... ใช่ ลีเจโน่ แฟน(เก่า) ของผม มันมีกิ๊ก!!! ผมจับได้เพราะรอยดูดที่หลังคอของมัน ผมพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถามมันออกไป แต่คำตอบที่ได้กลับทำผมปรี๊ดแตกหนักกว่าเดิม มันตอบว่า แมวข่วน



                                                    สงสัยนึกว่ากูกินหญ้าเป็นอาหารหลัก...
                                                            เอ้อ! แมวบ้านมึงนี่เก่งเนอะ



                  ผมให้โอกาสมันตอบอีกครั้ง และใช่ มันยอมรับด้วยสีหน้าสลดใจนิดหน่อย ย้ำว่านิดหน่อยจริงๆ หลังจากนั้นผมก็โกรธจนร้องไห้ออกมา และต่อยหน้ามันไป2ที แล้วบอกเลิกมันเลย มันไม่กล้าแบกหน้ามาง้อผมด้วยซ้ำ เพราะกิ๊กใหม่มันน่ะ เป็นคนที่ผมรู้จัก เหอะ ไอ้เลวเจโน่!! แต่ช่างเถอะ ผมเลิกกับมันมาหลายเดือนแล้ว ไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่นัก



                       กลับมาที่งานเลี้ยงของบริษัท มันก็ต้องมีบ้างที่ดื่ม จนเมาเป็นหมาถูกมั้ยล่ะ ผมจะไม่เมาขนาดนั้นเลยหากไม่ได้ตัวชงอย่าง ลีแฮชาน เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งเลขาส่วนตัวของมาร์ค ลี แล้วไอ้เพื่อนตัวดีเนี่ย ก็ดั้นทะลึ่ง ลากผมไปร่วมโต๊ะกับ เจ้านาย เพราะมันเห็นว่าผมกับเจ้านายไม่สนิทกันเท่าที่ควร จึงอยากสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผมกับเขา



                        เรานั่งดื่มกันแค่สามคน พนักงานคนอื่นๆไม่กล้ามานั่งด้วยหรอก เพราะไม่ได้สนิทกับเจ้านายเท่าแฮชาน ผมเกร็งมาก แต่ด้วยความที่มันเป็นงานเลี้ยงทั้งที จึงเลือกกระดกเหล้าเข้าปากเป็นว่าเล่น นานๆทีปีละหน เอาให้คุ้มหน่อย

                        เจ้านายคงสงสัยว่าผมเป็นคนดื่มหนักขนาดนี้เลยหรอ จึงถามแฮชาน ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดั้นไปบอกเขา ว่าผมเพิ่งเลิกกับแฟน เลยมีสภาพเป็นแบบนี้ ผมรีบแย้งขึ้นมาว่า เลิกกันไปตั้งหลายเดือนแล้วเถอะ!  มาร์ค ลี แสยะยิ้มร้ายออกมา ผมก็เริ่มหวั่นๆหน่อยๆแล้วล่ะตอนนั้น


                       ผมจำไม่ได้ว่าดื่มไปกี่แก้ว แต่สติของผมเริ่มเลือนราง ผมพูดคุยกับเจ้านายเยอะขึ้นจริง เขาก็ไม่ใช่คนแย่อะไร ออกจะตลกและชิลมากด้วยซ้ำ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบตีหนึ่ง พนักงานส่วนใหญ่ต่างพากันกลับบ้าน เหลือก็เพียงแต่พวกผม และพนักงานบางคนเท่านั้น แฮชานลุกออกไปตอนไหนผมก็ไม่ทราบ แต่ก็พอจะรู้ว่าก่อนมันไป มันบอกกับผมว่า จะไปส่งน้องในแผนกที่บ้าน นั่นเป็นอันรู้กัน ว่าลี แฮชาน มันมีแผนจะทำอะไร ผมกับเจ้านายก็ไม่ได้ขัดอะไร จึงเป็นเหตุให้ เหลือผมกับเขาร่วมโต๊ะกันเพียงแค่สองคน!!




หลังจากที่เราเริ่มสนิทกันในระดับหนึ่ง หมายถึงผมกล้าที่จะพูดคุยกับเขามากขึ้น เขาก็ดูจะเป็นห่วงผมขึ้นมาเลย


                    “ไหวรึเปล่า?

                    ผมไม่รู้ว่าระยะห่างของเราสองคนมันลดลงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ผมนั่งพิงไหล่เขาอยู่ เขาก็ไม่มีทีท่าจะขัดอะไร ซ้ำยังกางแขนออกเพื่อโอบผมอีกด้วย



                      “แค่นี้สบายมากครับ
      พูดพร้อมเงยหน้ามองผู้เป็นเจ้านายแล้วยิ้มบางๆออกมา




อ่า นี่เจ้านายผมหล่อขนาดนี้เลยหรอ?
หล่อกว่าไอ้บ้าเจโน่ตั้งเยอะแหน่ะ!!



                           “หน้าแดงแล้วนะ ทำเป็นซ่า
                           เขาเอื้อมมือมาแตะตรงแก้มผม มือเย็นๆของเขาทำเอาผมสะดุ้ง ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไร กลับซุกหน้ากับอกเขาแทน



                             ทำไมนิสัยเมาแล้วขี้ยั่วอย่างนี้มันไม่หายสักทีนะ

                               ไอ้บ้าเจโน่เคยบอกผมไว้ ว่าห้ามไปเมากับใครที่ไหน 
ทำไมผมต้องฟังมันด้วยล่ะ ทีมันยังไปนอนกับคนอื่นได้เลย แล้วทำไมผมจะทำไม่ได้?



                          ผมเริ่มรู้สึกใจเต้นและคึกแปลกๆ โอเค ยอมรับว่าหลังจากเลิกกับเจโน่มา ผมก็ไม่ได้คุยกับใครเลย ทำให้เมื่อผมโอกาสใกล้ชิดกับใครสักคน อะไรๆมันก็เลย...พลุกพล่านนิดหน่อย และคืนนี้เขาก็ดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับผมอย่างดีด้วย ดูจากมือที่โอบผมอยู่นั่นแหละ




ผมอยากกลับแล้ว  ช้อนสายตาไปมองอีกคน คำพูดบวกกับสายตาที่ผมส่งไปให้เขา ทำให้เขายิ้มร้ายออกมา และพยุงตัวผมขึ้น ผมเดินตามเขามายังรถสปอร์ตคันหรู เขาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับผายมือเป็นเชิงบอกให้เข้าไปนั่ง ผมทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อเขาเข้ามานั่งในรถด้วยกัน เขาก็เป็นฝ่ายถามขึ้น


จะให้ไปส่งที่ไหน?” 
คอนโดพี่ผมจ้องหน้าเขา พร้อมยิ้มบางๆไปให้




                                                    โอเค อย่าเพิ่งด่าผมกันล่ะ ก็คนมันอยากลองบ้าง
                                         ไอ้เจโน่มันทำได้ ผมก็ทำได้ดิ!        




หึ พูดเองนะ แล้วอย่ามาร้องทีหลังแล้วกัน

                     เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นยังไง ผมไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่หรอก..ก็อายอะ




                                                    แต่ให้ตายเถอะ เขาอะ So damn hot!!!!!

                                                    เด็ดกว่าไอ้บ้าเจโน่ตั้งเยอะ!!!




     นั่นแหละครับ เช้ามาระบมไปถึงทรวงในเลย

งามหน้ามั้ยล่ะ แจมิน
                                                                  

แล้วผมจะมองหน้าเขาติดได้ยังไง!!!!!
                                                     


                      เอาล่ะ กลับมาที่ปัจจุบัน ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังทำใจเพื่อออกเผชิญหน้า เจ้านาย ที่รอผมอยู่ข้างนอก



                          “เอาวะ!!” ผมตัดสินใจเปิดประตูห้องน้ำออกไป และเดินออกมายังห้องรับแขก ก็พบกับเจ้าของห้องที่กำลังถือชามใส่ซีเรียลผสมนมสดนั่งทานที่โซฟา ตาคมจดจ้องไปยังทีวี แต่เมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ข้างๆโซฟา เขาจึงละสายตาจากทีวีมามองผม



                         “ไงนา แจมินให้ตายเถอะ คำทักทายนั่นมันน่ากลัวชะมัด


                        “ครับพี่มาร์คคงสงสัยกันใช่มั้ย ว่าทำไมผมถึงเรียกเขาว่าพี่มาร์ค (อย่างสนิท?) ก็เมื่อคืนนั่นแหละ เขาเป็นคนบอกให้ผมเรียกเองอะ..


                          “ร้ายไม่เบานะเราอะเขายิ้มออกมา ทำเอาผมก้มหน้างุด


ก็เมื่อคืนมันเมาอะ!!!!


                             “คือ..เรื่องเมื่อคืน ผมขอโทษนะพี่มาร์ค แต่...ผมเมาอะ..ผมทำหน้าสำนึกผิดไปให้เขา อีกคนวางจานซีเรียงลง เขาหัวเราะและตบเข่าฉาดใหญ่


                               “ฮ่าๆ เดี๋ยวๆ นี่สรุปใครเป็นฝ่ายต้องพูดคำนั้นกันแน่

                               “เห้อออออ พี่มาร์คอ้ะ!!” เมื่อเห็นเขามีท่าทีดังนั้น ผมจึงรู้สึกไม่กดดันอีกต่อไป เลยนั่งลงข้างๆอีกคน

                                “เข้าใจว่าเมา แถมยังใจอ่อนไหวด้วย พี่ก็เคยเป็นตอนเลิกกับแฟนใหม่ๆเขาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู ผมพยักหน้าให้เขา

                                “แล้ว..หลังจากนี้ ผมต้องทำตัวยังไงอะ?ผมถาม ก็จริงอะ เรา..ได้กันแล้วนี่!

                               “ก็ ทำตัวปกติดิ หรือจะไม่ปกติ?เขาเลิกคิ้ว

                              “กะ..ก็ มันยากปะพี่ เรา..เพิ่งมีอะไรกันเมื่อคืนเองนะ..ผมยู่ปากลง

                              “หรือจะให้พี่รับผิดชอบ?เขายกยิ้ม ผมจึงส่ายหน้าพลัน

                              “เห้ยบ้า! ไม่ใช่ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นผมรีบโบกมือปัด เขาหัวเราะออกมาราวกับถูกใจ

                                                    อะไรเนี่ย ทำไมผมดูเครียดอยู่คนเดียว!!


                           ผมหมายถึง เราจะยังเป็นเจ้านายกับลูกน้องที่ไม่ค่อยสนิทกันเหมือนเดิมใช่มั้ย?

                                 “ทำไมต้องทำงั้นล่ะ ก็ตอนนี้เราสนิทกันแล้วนี่?

                                 “อืม ก็จริงอะ แต่มันก็แปลกๆอยู่ดีปะพี่?ผมถาม เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

พี่ว่าเราควรทำไงต่ออะ?เมื่อเห็นเขาเงียบไปผมจึงถามคำถามคาใจออกมา เขาทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและตอบผม


                                  “เอางี้ มาคุยกันปะ พี่ว่าเราน่ารักดี

                                  “ห้ะ.... ผมมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

ก็หมายถึงคุยเพื่อคบกันไง นี่พี่อุตส่าห์ไม่ข้ามขั้นนะเนี่ย



แหม กล้าพูดว่าไม่ข้ามขั้น
แล้วไอ้ที่ได้กันไปเมื่อคืนนี่คืออะไรล่ะพี่มาร์ค?



                            “แต่..ผมเพิ่งเลิกกับแฟนนะพี่เออ! เลิกกันยังไม่ครึ่งปีเลยด้วย!!

                            “แล้วไง ก็เลิกไปแล้วนี่เอ๊ะ! ทำไมเขาชิลจัง

                                                    สงสัยอะ...

ทำไมพี่ชิลจังอะ?...ผมเอียงคอถาม

                             “ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเครียดนี่เขาหยิบเอาชามซีเรียลขึ้นมาตักเข้าปาก พลางยื่นมาทางผมด้วย ผมอ้าปากรับซีเรียลก่อนจะเคี้ยวและใช้ความคิดไปด้วย



                                                    ถ้าเขาชิลขนาดนี้ เราก็ควรจะชิลบ้างปะ?


                             “แล้วถ้าผมกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าอะ?


                             “แน่ใจหรอว่าจะทำงั้น?


                            “อือ ก็ไม่แน่อะ ถามเผื่อไว้ก่อน ถึงแม้ตอนนี้ผมจะเกลียดมันเข้ากระดูกดำก็ตาม

                            “ยาก บอกเลย ไม่มีใครไม่หลงเสน่ห์พี่หรอก...ดูจากเมื่อคืนก็รู้นี่เขาเอียงตัวมาใกล้ผม ประโยคชวนขนลุกนั่นทำให้ผมต้องตีแขนเขาเบาๆ

พี่แม่ง บ้าว่ะ..  หมุบ จู่ๆเขาก็ตบปากผมเบาๆ ทำเอาผมต้องขมวดคิ้วและโวยวายออกไป
    
                            “โอ๊ย! ตีปากผมทำไมเนี่ย?

                            “ใครใช้ให้พูดไม่เพราะล่ะคะ ไม่น่ารักเลยเขาเลือกที่จะใช้เสียงอ่อนและหยิกแก้มผมเบาๆ สายตาเจ่าเล่ห์อ่อนหวานนั่นทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ


                             เริ่มจะเชื่อแล้วล่ะ ว่าไม่มีใครไม่หลงสเน่ห์เขาอะ..
                                                    ทำไมใจง่ายขนาดนี้วะนาแจมิน!!!!


                           “พะ..พี่อะ ออกไปเลยผมตั้งสติแล้วผละเขาออก เขาหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ยอมผละออกไปโดยดี

                           “หิวยังอะ?เขาถามขึ้น

                           “หิว

                           “เพิ่งกินไปเองนะเรา กินจุว่ะ หมุบ ผมตบปากเขาเบาๆบ้าง เขาแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา

                           “ว่าแต่ผม พี่ก็พูดไม่เพราะเหมือนกันแหละน่า

                           “ร้าย ร้ายจริงๆ เขาส่ายหัว แต่หน้านี่ยังยิ้มอยู่เลยนะ

                                     สงสัยจะไม่รู้ซะแล้ว ว่าผมเป็นคนยังไง เรายังต้องศึกษากันอีกยาวล่ะ มาร์ค ลี


                             “ไปกินข้าวได้ยังอะ ผมหิวผมเริ่มประท้วง เขาจึงลุกไปเก็บจานซีเรียล และหยิบกุญแจรถก่อนจะเดินไปใส่รองเท้า ผมจึงเดินตามไป แต่เขากลับหยุดกะทันหัน ผมจึงชนเข้ากับแผ่นหลังอย่างจัง

                             “โอ๊ย! พี่จะหยุดทำไมเนี่ย?ผมทำหน้าไม่พอใจ เขาจึงหันกลับมายิ้มร้ายอย่างที่ผมชักจะหมั่นไส้ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ผมเลือกที่จะถอยหนี แต่เขากลับล็อคตัวผมไว้

                             “ก็อยากแกล้งอะ คนแถวนี้มันน่าฟัดพูดจบเขาก็ขโมยหอมแก้มผมไปหนึ่งฟอด ก่อนจะปล่อยตัวผมและหันกลับไปใส่รองเท้า เตรียมตัวจะเปิดประตู

                                หนอยยยย อย่างนี่มันหยามกันชัดๆ ผมเป็นพวกไม่ยอมโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเสียด้วย

                                    “พี่...ผมเรียกและดึงแขนเสื้อเขา เขาหันมาตามเสียงเรียก ทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะ

                                                    หมวบ! ผมกดจูบลงบนริมฝีปากอีกคนก่อนจะผละออกมาและยักคิ้วไปให้ เขาทำหน้าเหวอก่อนจะเผยยิ้มออกมา


                                   “เผื่อพี่ยังไม่รู้ ผมเป็นพวกที่ไม่ยอมโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าใครแกล้งผมอะ ผมจะต้องแกล้งกลับให้แรง และสะใจกว่า เข้าใจนะครับ..คุณมาร์ค ลี ผมขยิบตาให้เขาหนึ่งที ก่อนจะเป็นคนเดินนำอีกฝ่ายออกมานอกห้อง



한잔해요 (HAVE A DRINK)




                               วันนั้นพี่มาร์คพาผมไปกินข้าวที่ห้างสรรพสินค้าแถวคอนโดพี่เขา จากนั้นก็ไปส่งผมที่บ้าน เราไม่จำเป็นต้องแลกเบอร์กัน เพราะเราต่างมีเบอร์ของกันและกันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยโทรหากันเลยสักนิด



ก็แน่ล่ะ ไม่สนิทกันนี่นา
แต่ตอนนี้ผมว่าเราน่าจะมีเรื่องให้โทรหากันมากขึ้นนะ



หลังจากวันนั้นผ่านไป ชีวิตผมก็ดำเนินไปตามปกติ มันพิเศษหน่อยๆตรงที่ ผมมีคนมารับไปทำงานทุกเช้า และไปส่งที่บ้านแทบทุกเย็น พี่มาร์คให้เหตุผลว่า


ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน ชิลๆหน่อย จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถ

                                                       แล้วผมจะขัดอะไรได้ ชิลก็ชิลวะ!!       
    

                             นอกจากนั้น ผมยังมีคนคอยให้โทรหาเวลาต้องการบ่นเรื่องงานให้ใครสักคนฟังอีกด้วย ถึงแม้ว่า งานที่บ่นจะเป็นงานของเค้าก็ตาม..


                              แถมผมยังมีสิทธิพิเศษได้ขึ้นคอนโดพี่มาร์คบ่อยๆ เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ พี่เค้าจะชวนผมมานอนดูหนังที่คอนโดบ้าง ทำกับข้าวให้กินบ้าง เอ้อ ลืมบอกไปว่า พี่มาร์คอะ ทำกับข้าวอร่อยสุดๆไปเลย  อีกอย่างนะ บางวันผมก็นอนค้างที่นี่เลยอีกด้วยอะก็พี่เค้าชวนอ่า...



ผมกับพี่มาร์คเราแสดงออกว่าสนิทกันมากขึ้นในที่ทำงาน จนแฮชานถึงกับเอ่ยปากทัก และเมื่อมันรู้ความจริงจากปากพี่มาร์คว่าเราคุยๆกันอยู่ มันก็อดภูมิใจไม่ได้ ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้พี่เค้ากับผมสนิทกัน ผมทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้งส่งไปให้อีกคน ก่อนจะเฉไฉทำเป็นขอบคุณเพื่อนรักตัวดี ที่ทำให้ผมมีโอกาสสนิทกับเจ้านายมากขึ้นขนาดนี้!!


เออ บุญคุณนี้จะไม่มีวันลืมเลย!!!


วันนี้เป็นอีกวันที่พี่มาร์คไปส่งผมที่บ้าน เราตกลงกันว่าจะไปหาอะไรทานก่อน ด้วยความที่ผมเลือกร้านไม่เก่ง และไม่ค่อยรู้จักร้านอาหารดีๆอะไรเทือกนั้น หน้าที่เลือกร้านจึงตกเป็นของพี่มาร์คโดยสมบูรณ์....



                                  อ้อ ลืมบอกไป ว่าทุกมื้อที่ผมกับเค้าทานอะไรด้วยกันอะ พี่มาร์คเค้าเป็นคนเลี้ยงผมตลอด เค้าให้เหตุผลว่า


                                อย่างน้อยพี่ก็เป็นเจ้านายเรานะ จะให้เราออกเองได้ยังไง นั่งเงียบๆไป ชิลหน่อยน่า


เออ!! แล้วแต่พี่เลย ชิลอีกละ!!!


                                 ร้านอาหารที่พี่มาร์คเลือกวันนี้เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน พี่เค้าชอบกินมาก เพราะสมัยเรียนไฮสคูลที่แคนาดา (บ้านเกิดพี่เค้า) มัมชอบทำอาหารอิตาเลี่ยนให้ทาน ผมแอบหมั่นไส้เค้าอยู่หน่อยๆ คนอะไร ชาติตระกูลดี แถมยังหน้าตาดีอีก หมั่นไส้อะ!!!


                           เราสองคนเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูสไตล์อิตาเลี่ยน ที่ตกแต่งร้านสไตล์โมเดิร์นสีขาวๆ ทำให้ดูสบายตา ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน คนค่อนข้างที่จะพลุกพล่านหน่อยๆ เราเลือกโต๊ะที่ติดกระจก เพื่อที่จะได้มองเห็นทิวทัศน์นอกร้านได้


                           หลังจากเราลงมือสั่งอาหารกันเสร็จ พี่มาร์คก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งผมนั่งเฝ้าโต๊ะคนเดียว  ผมจึงเบนสายตาสำรวจบรรยากาศร้านโดยรอบ ไม่มีอะไรให้น่าสนใจมากนัก แต่เมื่อกวาดสายตาไปดีๆ ผมกลับต้องชะงัก ก่อนจะเพ่งพินิจเพื่อให้มั่นใจ ว่าสิ่งที่ผมเห็นอยู่มันใช่จริงๆ...



เป๊ะ...
                                         ร้านก็หรูนี่ ทำไมเค้าปล่อยให้เหี้ยเข้าร้านอะ?



                          ถูกต้อง...ผมเจอลีเจโน่ กับกิ๊กของมัน!!! มันเดินควงแขนเข้าร้านกันมาหน้าระรื่น อีกฝ่ายดูท่าจะไม่สังเกตเห็นผม มันถึงยิ้มได้หน้าบานขนาดนั้นไงล่ะ



                          เจโน่เลือกนั่งโต๊ะคนละโซนกับผม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากมองจากโต๊ะมันมา ก็เห็นผมอยู่ดี ผมจึงนั่งกอดอก จ้องไปยังตะมัน รอจนกว่ามันจะหันมาเห็นผม...แล้วก็



โป๊ะ!!!
                                                    มันเห็นผมแล้ว ไอ้คนเหี้ยนั่นมันเห็นผมแล้ว!!


                            เจโน่ชะงักหุบยิ้มกลางอากาศแทบไม่ทันเมื่อมันเห็นหน้าผม ผมแค่นหัวเราะออกมา มองหน้ามันอย่างเยาะเย้ย ถึงกับต้องหุบยิ้มเลยหรอ ดูท่าจะตกใจมากสินะ


                            เป็นเวลาเดียวกันกับที่พี่มาร์คเดินมายังโต๊ะพอดี พี่เค้านั่งลงหันหลังให้เจโน่ ไอ้คนเลวนั่นขมวดคิ้วหน่อยๆ เมื่อเห็นพี่มาร์คนั่งลงตรงข้ามผม ผมคิดอะไรสนุกๆออกแล้วสิ 


แกล้งเหี้ยให้เสียดายเล่นดีกว่า
                               
                    
                       ก่อนอื่นผมต้องบอกพี่มาร์คก่อน ก็ผมคุยกับเขามาเกือบ3เดือนแล้วนะ มันนานอยู่เหมือนกันในความคิดของผม นานพอที่จะทำให้เรารู้สึกลึกซึ้งต่อกัน และนานพอที่จะให้ผมแคร์เค้า


                         ผมมองหน้าพี่มาร์คที่เล่นสมาร์ทโฟนอยู่ อีกคนเหมือนสัมผัสได้ว่าผมจ้องอยู่เลยเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วขมวดคิ้ว



                           “พี่มาร์ค... เขาทำหน้างง ผมจึงเม้มปากเรียกความมั่นใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้พี่เค้าหันไปทางข้างหลัง พี่มาร์คหันไปอย่างว่าง่าย เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นจึงหันกลับมาหาผม



                            “?



                        “พี่เห็นผู้ชายผมดำที่นั่งกับผู้ชายหัวแดงๆตรงนั้นปะ?พี่มาร์คหันกลับไปมองอีกรอบ และหันมามองผม ก่อนจะพยักหน้า


                       “นั่นอะ แฟนเก่าผมเอง

                       “แล้ว?พี่มาร์คตีหน้าขรึม เอาละ ชิบหายละแจมิน มีลางว่าพ่อมึงจะพิโรธ...


                     “คือ...มันมองผมแปลกๆ ผมอึดอัดผมพูดไปตามความจริง ก็ตั้งแต่เห็นผม มันยังไม่เลิกมองหน้าผมเลยคิดดู!!


                      พี่มาร์คหันไปมองไอ้เจโน่อีกรอบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม

                     ผมทำหน้างง อีกคนจึงดึงแขนผมให้ลุกขึ้นเบาๆ ก่อนที่เค้าจะนั่งลงแทนที่ผม


                                                   
                     “ไปนั่งฝั่งนู้นไป



                       ผมกลั้นยิ้มก่อนจะนั่งลงที่พี่มาร์คอย่างว่าง่าย ผมแอบเห็นนะ ตอนที่พี่มาร์คดึงผมลุกขึ้นแล้วนั่งแทนที่อะ พี่มาร์คส่งสายตาอำมหิตไปให้ไอ้เจโน่ด้วยแหละ แถมมันยังหน้าเจื่อนๆอีกด้วย



ว๊าย! รู้สึกสวย ชนะว่ะโทษที



                           หลังจากอาหารมาเสิร์ฟ ผมกับพี่มาร์คก็นั่งทานกันปกติ แต่บรรยากาศไม่ปกติเท่าไหร่ เพราะพี่เค้าเงียบผิดปกติ ผมเลยแก้สถานการณ์โดยการทำตัวอ้อนดู


                           “พี่มาร์ค...เสียงอ่อยเข้าไว้แจมิน มันได้ผล



                              “...พี่มาร์คไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำ ผมหน้าเจื่อน ก่อนจะวางช้อนกับซ่อมในมือลง แล้วเลื่อนมือไปกุมมืออีกคน



                            “พี่มาร์ค...



                             “...อีกคนยอมเงยหน้าขึ้นมามองกันแล้ว แต่สายตาดูก็รู้ว่าไม่พอใจอะ ผมจึงทำตาปริบๆ ก่อนจะบีบมือพี่เค้าเบาๆ



                           “พี่มาร์คเป็นอะไร?..นี่ผมทำเสียงอ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ละนะ ถ้ามาร์คลีใจร้ายขนาดไม่แพ้ลูกอ้อนผมเนี่ย ก็ไปตายพร้อมไอ้โต๊ะข้างๆโน่นไป๊!!



                            “...ยังคงเงียบ



                            “พี่มาร์ค..ผมเรียกชื่อพีเค้าอีกรอบ อีกคนก็ยังคงนิ่ง แล้วม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจานต่อ ยังดีที่เค้าไม่แกะมือผมออก ไม่งั้นผมเสียเซลฟ์แย่



                             “พี่มาร์คจ๋า...ในเมื่อไม่ยอมตอบกัน ผมคงต้องมาทางนี้ว่ะ ไอ้จ๊ะๆจ๋าๆอะไรเนี่ย เห็นไอ้แฮชบ่นว่าเด็กมันชอบใช้อ้อนให้มันซื้อของให้



                                “ฮึ?ได้ผลว่ะ!!! ยอมเอ่ยปากพูดกับผมแล้วครับ ขอบคุณมากเพื่อนแฮชชชช



                                     “พี่มาร์คโกรธแจมหรอ?แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นต้องมานะครับ ใครที่คิดจะง้อแฟนเนี่ย.... อุ่ยลืม ยังไม่ใช่แฟนนี่นา... ยังชิลๆกันอยู่ครับ ไม่มีอะไร...



                                       “ทำไมต้องโกรธ?พี่มาร์คยังคงตีหน้านิ่ง ทำไมอ้ะ ทำไมพี่มาร์คไม่ชิลเลย เห้อ...



                                      “ก็พี่มาร์คไม่คุยกับแจม... ผมทำหน้าสลด ก่อนจะหลุบตาลงมองต่ำ อีกคนวางช้อนส้อมในมือ ก่อนจะกุมมือของผมที่กุมมือเค้าไว้อีกที



                                     “เลิกทำตัวอ่อยเรี่ยราดได้แล้ว หวงเค้าบีบมือผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาเคาะจมูกผมอีกที ผมทำหน้ายู่แล้วยิ้มออกมาให้ เห็นแมะ ก็บอกแล้วว่าได้ผล



                                      “พี่มาร์คไม่โกรธแจมนะ?ผมถามเพื่อความมั่นใจอีกรอบ อีกคนพยักหน้าลงเบาๆ เค้าปล่อยมือก่อนจะลงมือทานต่อ



                                        “จะหายโกรธถ้าคืนนี้ไปนอนกับพี่ผมกลอกตา ก่อนจะเบ้ปากออกมา อีกคนยิ้มร้ายแล้วส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางผม




                                                    อะไรวะ จะหายโกรธกันง่ายๆแบบนี้เลยหรอ..

ใจง่ายอ่าพี่มาร์ค



                            “ว่าไง จะไปมั้ย?ผมชักสีหน้าหงุดหงิด


                            “เออ! ไปก็ไปวะ!!”



                                                    หมุบ!!
                                         นั่นไง โดนอีกแล้ว ทำไมไม่จำล่ะแจมิน..



                         บอกกี่รอบแล้วว่าอย่าพูดคำหยาบ? ทำไมดื้อจังเนี่ย?พี่มาร์คส่ายหัวเบาๆ ผมยู่ปากลงก่อนจะเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาเสียงอ่อย



                               “ผมขอโทษอะ..


                                “เปลี่ยนจากคำขอโทษไปเป็นนอนคอนโดพี่คืนนี้
                                                   


                                                    มาร์คลี ไอ้คนร้ายกาจ!!!




                              한잔해요 (HAVE A DRINK)





หลังจากเราทานอาหารบนโต๊ะเสร็จ พี่มาร์คก็เรียกพนักงานเช็คบิล สายตาของพี่มาร์คยังคงมองไปยังไอ้เจโน่เป็นระยะๆ จนเค้าจ้องไปทางมันนานกว่าปกตินั่นแหละ ผมจึงหันหลังไปดูบ้าง ว่าพี่เค้าจ้องอะไร


ชิบหาย...รู้เลย



                                                    เหี้ยกำลังเดินมาครับทุกคน ช่วยห้ามตีนผมด้วย...
                                                  


 
                                       ไอ้เจโน่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะของผมกับพี่มาร์ค ผมจ้องหน้ามันอย่างสงสัย ส่วนพี่มาร์คจ้องด้วยสายตาที่นิ่งและน่ากลัวมาก ผมไม่เคยเห็นเค้าเป็นแบบนั้นมาก่อน จึงเลื่อนมือไปกุมมือพี่เค้าไว้



                                           “มีอะไร?ผมหันไปถามเจโน่ อีกคนมองมือของผมกับพี่มาร์คแล้วยิ้มแห้งๆส่งมาให้




                                           “เปล่าหรอก เราแค่เข้ามาทักแจมินเฉยๆ

                                                    ตอแหล มึงจงใจจะมาเผาบ้านกูใช่มั้ยล่ะเจโน่ กูรู้ทันหรอก!!!




                                     “งั้นหรอผมแค่นหัวเราะ เป็นเวลาเดียวกับที่พนักงานเดินเอาบัตรเครดิตมาให้พี่มาร์คเซ็น เค้าปล่อยมือผมก่อนจะเซ็นลงอย่างเกรี้ยวกราด แล้วเก็บบัตรเข้ากระเป๋าตังค์ ก่อนจะเดินมาลากแขนผมให้ลุกขึ้น แล้วโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของ




                                                    หน้าเจโน่งี้เจื่อนเลย สมน้ำหน้าเหี้ยจัง อิอิ



                                        “ดูท่าเพื่อนแจมินจะไม่ค่อยพอใจที่เรามาทักนะ ขอโทษด้วยละกันเจโน่ทำเป็นรู้สึกผิด มันยิ้มเจื่อนๆมาให้



                                                    แหม ทำมาเปงรู้สึกผิด กูรู้หรอก ว่ามึงกำลังสะใจอยู่




                                         “ประธานโทษนะครับ ผมไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแฟนอีกคนที่ทำหน้าเกรี้ยวกราดอยู่นานพูดขึ้น คำพูดและสายตากวนตีนของพี่มาร์คทำผมแอบยิ้ม



                                                    โทษนะเจโน่ จะพูดอะไรดูด้วย เจ้าที่มันแรง




                                        “โอ๊ะ ขอโทษทีครับ พอดีเข้าใจผิดนิดหน่อยมันเอามือป้องปาก ก่อนจะโค้งหัวเป็นเชิงขอโทษ พี่มาร์คแค่นหัวเราะออกมา ผมสัมผัสได้ว่า เท้าพี่เค้ากระดิกแรงแปลกๆ เอ๊ะ เหมือนจะลั่นเลยอะทำไงดี




เดี๋ยวกลับก่อนนะ เอ้อ แล้วก็ ถ้าเจอกันอีกไม่ต้องเข้ามาทักก็ได้ พอดีไม่อยากเห็นหน้าเหี้ยผมพูดทิ้งท้ายใส่หน้ามัน ก่อนจะเป็นฝ่ายลากแขนพี่มาร์คออกจากร้าน



                                                    ได้ด่าเหี้ยว่าเหี้ยทำไมมันสะใจขนาดนี้อะครับ...





                                       ผมกับพี่มาร์คเดินมาขึ้นรถแล้ว พี่มาร์คสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับคอนโด ตั้งแต่ขึ้นรถมา ก็เห็นอีกคนเอาแต่ยิ้ม ดูท่าจะอารมณ์ดีแปลกๆ  ทั้งๆที่เมื่อกี้นี่เกรี้ยวกราดไฟแล้บเลยจ้า




                                   “พี่มาร์คยิ้มอะไรอะ?ผมหันหน้าไปถามอีกคน พี่มาร์คเหลือบตามามองผมก่อนจะสนใจถนนข้างหน้าต่อ




                                    “อยากยิ้มไม่ได้หรอ? ชิลหน่อยแจมิน



                                                   
                                   “ชิลอีกละ นี่พี่ ผมถามจริงเหอะ นี่พี่จะชิลอีกนานปะ?ชักจะหมั่นไส้ครับ คนอะไรชิลขนาดนั้น ทิ้งระเบิดอะไรไว้ในร้านอะรับผิดชอบด้วย




                                    “ทำไมต้องไม่ชิลอะ ชิลดิแจมินอ่า... เค้าพูดเสียงอ่อยก่อนจะส่งมือมาขยี้หัวผมเบาๆ



                                   “ผมไม่อยากชิลกับพี่ละนะ!!” ผมเริ่มจริงจัง อีกคนหุบยิ้มก่อนจะหันมามองหน้าผม แล้วก็กลับไปจ้องถนนต่อ



                                  “เป็นอะไรเรา?เขาถามเสียงอ่อน



                                  “เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย..มุกนี้แม่งต้องมาว่ะ คือมันเหลืออดละจริงๆ จะขอก็รีบขอดิวะ ชิลมานานละตั้ง3เดือน รำคาญ




                                      “ฮ่าๆๆเขาหัวเราะร่วนเลยครับ นี่ตลกมาหรอ? ดูหน้าด้วยว่าตลกมั้ย?



                                   “หัวเราะอะไรเล่า ก็มันจริงอะ!” ผมยู่ปาก เสหน้ามองไปทางอื่น ความจริงก็แอบอายนะ แต่มันว้าวุ่นใจมากกว่าอะ



                                    “อะๆ ก็ได้ๆเค้าหักรถเข้าข้างทาง ก่อนจะจอดมันลง พี่มาร์คหันหน้ามาทางผม ก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผมไว้



                                  “แจมินอ่าเค้าเรียกชื่อผมเสียงเบา ผมที่จ้องข้างทางอยู่นานจึงหันกลับมา แต่พอเจอกับสายตาของคนตรงหน้านี่ทำเอาผมแทบอยากหันกลับไป ถ้าไม่ติดว่าพี่มาร์คล็อคหน้าผมไว้นะ หันไปแล้วเนี่ย ก็ดูสายตาพี่เค้าดิ หวานเว่อร์อะ โอ๊ยเขิน...



                                “อะ..อะไร ผมหลุบตามองต่ำ พยายามไม่มองหน้าพี่เค้า ก็มันเขินอะฮือ



                              “จำที่พี่พูดในร้านได้ปะ?



ตึกตักๆ
โอย โคตรลุ้นเลยอะ..



                           อื้อ..



                             “ที่บอกว่า..เราเป็นแฟนพี่อะ..พี่มาร์คก้มหน้ามามองตาผม ผมเห็นดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้น แล้วเม้มปาก




                               “อื้อ.. ผมจ้องไปในตาพี่เค้าที่ตอนนี้มันมีแต่เงาของผมสะท้อนอยู่ในนั้น เสียงหัวใจของผมมันดังมาก ดังจนผมว่าพี่เค้าก็ได้ยินแหละ




                                 “พี่.... สายตาของพี่มาร์คที่มองมาทำให้ใจผมแทบเหลวเป็นน้ำ มันโคตรมีพลังทำลายล้างสูงเลยอะฮื้ออออ




                                                    ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก




                                     “พี่....








                                         ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก










                               พี่............
ล้อเล่นนะอย่าคิดมาก ชิลๆนะเรา” 



พูดจบพี่แกก็ปล่อยมือที่กุมผมไว้ ก่อนจะส่งมือมาขยี้หัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว




สัส... ตีนลั่นเลยครับ


                                                   
                                             ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะจ้องหน้าพี่มาร์คเขม็ง



                                           “ฮ่าๆ แจมินทำหน้างี้ตลกอะยัง ยัง ยังไม่สำนึกอี้ก!!!




                                            “พี่แม่ง...ผมบ่นออกมาก่อนจะส่ายหัว อีกคนเห็นดังนั้นก็ดึงตัวผมเข้ามากอดจนจม
อก



                                            “โอ๋..แจมินอ่า ไม่แกล้งแล้วพี่มาร์คลูบหัวผมเบาๆ ใบหน้าของผมที่ซบอยู่กับอกพี่มาร์คทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจของพี่เค้าชัดเจน




                                                    ผมว่าเสียงหัวใจเราเต้นตรงกันนะ..




                                           “พี่อะ ผมไม่เล่นนะเว้ยผมบ่นอุบ พี่มาร์คเลิกลูบหัว เค้าผละผมออกมาก่อนจะล็อคตัวให้ประจันหน้ากับเค้า




                                             “ไม่เล่นแล้วอะ ชิลมาเยอะละ ผมยู่ปากแล้วมองหน้าเค้า




                                               “แจมินครับเค้าเรียกผมเสียงหวาน เสียงแบบนี้มันเป็นเสียงที่เค้าไม่ค่อยพูดออกมา เป็นเสียงที่เค้าจะพูดแค่เวลาเค้าอ้อนเท่านั้น แล้วบอกเลยนะว่า




                                         เสียงนี้อะ..ผมแพ้ว่ะ




คะ..ครับ




                                             “แจมินเป็นทุกอย่างให้พี่แล้วนะครับ พี่มาร์คยังคงมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ถ้าให้เดาหน้าผมตอนนี้นะ มันต้องเริ่มแดงแล้วล่ะ ก็เขินอะ..




                                             “ครับ


                                          “แล้วแจมินก็...เป็นแฟนพี่นานแล้วด้วย




                                        “บ้า..ผมไปเป็นแฟนพี่ตอนไหนกันผมเสตามองไปทางอื่นเพื่อลดความเขิน อีกคนบีบแก้มผมเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว




                                        “ก็ตั้งแต่ที่พี่โทรหาแจมินแล้วบอกว่านอนไม่หลับ ให้คุยเป็นเพื่อนหน่อยนั่นแหละ



                                                    ผมทำหน้าสงสัย พี่มาร์คจึงหัวเราะออกมา




                                         “แล้วก็ตั้งแต่ที่พี่ให้เราไปนอนดูหนังในห้องพี่ด้วยกันนั่นแหละ.....เอ้อ ตั้งแต่พี่ทำอาหารให้แจมินทานด้วย




                                                    เค้าต้องการจะพูดอะไรอะครับ ผมไม่เข้าใจ?




                                       “ยัง ยังไม่เข้าใจอีก



                                        “อือ ผมไม่เข้าใจอะ



                                              “พี่กำลังจะบอกว่า เราอะ มีอิทธิพลกับตัวพี่ตั้งแต่พี่ยอมให้เราเข้ามาในทุกพื้นที่ส่วนตัวของพี่แล้วไงทีนี้เข้าใจยัง?



                                                    เมื่อผมเริ่มปะติดปะต่อคำพูดของพี่มาร์ค ผมก็ยิ้มออกมา




                                                    พี่มาร์คแม่ง..น่ารักว่ะ




                                          ผมมองหน้าพี่มาร์คด้วยรอยยิ้ม พี่มาร์คก็เช่นกัน สายตาของเค้ามันบอกชัดมาก ว่าเค้าคิดยังไงกับผม


                                            เอาน่า ก็ผมแค่ต้องการความชัดเจนนี่ ไม่ใช่เอะอะก็บอกว่า ชิลดิ ชิล ชิล ชิล จะชิลไปไหนของพี่มันวะครับ....


                                             “ทีนี้พอใจละเนอะเรา



                                            “อื้อ ดีกว่าคำว่าชิลดิของพี่ละกัน



                                           “ฮ่าๆ เท่อะดิ้ ขอเป็นแฟนแบบนี้




                  “ก็นิดนึงอะ เท่จริงต้องแบบนี้เหอะพูดจบผมก็ยื่นหน้าไปจุ๊บปากพี่เค้าเบาๆก่อนจะเลื่อนหน้าไปกระซิบตรงข้างหูพี่เค้า



                                        “เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ พี่มาร์ค



                ร้ายว่ะ..หมายถึงผมเนี่ย ร้ายสุดๆเลยว่ะ







-



เขิน มาร์ค มาร์ค เลยยยยย -/////-
ไปหวีดกันได้ที่ #ชิลดิมาร์คมิน เด้อ